Tuesday, March 30, 2021

รีวิวหนังเรื่อง Mamma Mia Here We Go Again- สนุกสนานไปด้วยเสียงเพลง

 


ในการตัดสินใจลองดูในตอนแรกก็แอบคิดนะว่ามันจะดีหรือว่ะ เปลี่ยนผู้กำกับจากภาคแรกมาเป็น โอล พาร์คเกอร์ ที่พี่แกทำผลงานเรื่อง Now Is Good ออกมาก็ไม่ได้มีความเชื่อมอะไรถึง เรื่อง Mamma Mia Here We Go Again เลย โอเคภาคแรกทำไว้ดีเราก็คาดหวังแบบที่พอรับได้เพราะยังได้นัแสดงอย่าง ลิลลี เจมส์ เธอสวยและเป็นนักแสดงที่เก่ง แต่แล้วเมื่อได้ดูถึงกับร้อง OMG มันดี สนุกมีเพลงเพราะๆมันและเรื่องราวก็ไม่ได้แตกออกจากเดิมเลย มันไปต่อได้มันโอเค



ปู เซ็ตติ้ง (setting) เป็นเรื่องราวหลัง ตัวละครดอนน่าของเมอรีล สตรีพในหนังภาคแรกเสียชีวิต แล้วเลือกภารกิจหลักให้ โซเฟีย พลิกฟื้นโรงแรมเก่าของเธอ ซึ่งตรงนี้หากบทไม่แข็งแรงพอ มันจะกลายเป็นหนังเพลงภาคต่อราคาถูกทันที แต่ด้วยความพิถีพิถันในการถักทอเรื่องราว เราเลยได้เห็นภาพสะท้อนของดอนน่าในวัยสาวที่มีทั้งความบ้าบิ่นและอ่อนไหว สดใสแต่เปราะบาง มาใช้อธิบายสภาวะเจอมรสุมชีวิตและมรสุมอากาศที่อาจพังความฝันของ โซเฟีย ในชั่วพริบตาได้อย่างชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง และที่ยิ่งเซอร์ไพรส์คือหนังยังใช้เพลงของ แอบบา ได้เข้ากับสถานการณ์มากกว่าหนังภาคแรก ควบคู่ไปกับการออกแบบฉากมิวสิคัลที่ต้องบอกว่าเต็มไปด้วยความซับซ้อนในเชิงมิวสิคัลและยังทำงานร่วมกับ มิสอองแซงในทางภาพยนตร์ได้อย่างลงตัว

 


โดยส่วนตัวประทับใจการกำกับซีนมิวสิคัลของหนัง 3  ฉากเป็นพิเศษคือเพลง วอเตอร์ลู (Waterloo) ที่เป็นการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างดอนน่า และแฮรี่ในวัยหนุ่มสาวที่นอกจากเสียงร้องอันทรงพลังของลิลลี เจมส์ และฮิวจ์ สกินเนอร์ แล้ว การออกแบบท่าเต้นทั้งตัวหลักและอองซอม (Ensemble Performers- นักแสดงประกอบที่ต้องร้องและเต้นเพื่ออธิบายสถานการณ์ของตัวละครหลักในละครเวทีประเภทมิวสิคัล) ยังเต็มไปด้วยพลังงานมหาศาลผนวกการถ่ายภาพของโรเบิร์ต โยแมน (ตากล้องคู่บุญของผู้กำกับ เวส แอนเดอร์สัน) ที่ทำให้ทุกเฟรมเต็มไปด้วยความครึกครื้นทั้งสีสันที่ทีมกำกับศิลป์วางไว้และการจับความเคลื่อนไหวในกรอบภาพได้อย่างงดงาม

 


ส่วนเพลง I have a dream ก็ถูกนำมาถ่ายทอดด้วยการเล่าเรื่องด้วยเพลงและภาพได้อย่างหมดจด สามารถถ่ายทอดการส่งต่อความฝันด้วยการตัดสลับซีนระหว่าง ดอนน่า วัยสาวที่ค้นพบโรงแรมพังๆแห่งนี้กับการเกิดใหม่อย่างใจฝันของโซเฟียที่ปรับปรุงโรงแรมเบลลาดอนน่าขึ้นใหม่เพื่อแม่ที่จากไปของเธอได้อย่างงดงามจนใครที่บ่อน้ำตาตื้นต้องมีรื้นๆกันบ้างแหละ

 


และหากใครรู้สึกเซ็งหนังภาคแรกที่ถ่ายทอดฉากมิวสิคัลเพลง แดนซิงควีน (Dancing Queen) เพลงฮิตระดับตำนานของวงแอบบาได้อย่างไม่สมศักดิ์ศรี หนังภาคนี้คือการชดเชยที่สาแก่ใจมาก เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อเฉลิมฉลองความสุขของตัวละครทุกตัวในเรื่อง และถูกจัดวางให้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ แถมยังออกแบบซีนนี้ได้อย่างอลังการด้วยการร้องและเต้นของตัวละครหลักและอองซอม บนเรือสำราญใหญ่ยักษ์หลายลำ ก็ทำให้ภาพออกมาอลังการและน่าประทับใจสมศักดิ์ศรีเพลงในดวงใจตลอดกาลของใครหลายคนเป็นอย่างยิ่ง

No comments:

Post a Comment

13 The Musical (2022) รีวิวภาพยนต์เพลงและดนตรีจาก Netflix

 13 The Musical (2022) รีวิวภาพยนต์เพลงและดนตรีจาก Netflix เรื่องราวของ อีแวนด์ โกลด์แมน เด็กหนุ่มที่ย้ายมาจากโรงเรียนในนิวยอร์คตามครอบครัว ...