Sunday, April 11, 2021

รีวิวภาพยนตร์ เรื่อง Dreamgirls

 


โดยภาพยนต์เรื่องนี้จะสร้างความฝันให้หลายๆคนที่ต้องการฝันความฝันก็เปรียบดังโรงละครโรงหนึ่งที่เราสร้างขึ้นเพื่อแสดงตัวตนที่ไม่อาจเปิดเผย และหลายคนก็เต็มใจจะขีดเขียนความฝันบนเวทีแห่งมายาเพื่อปลอบประโลมความจริงอันหดหู่แต่ถ้าความฝันนั้นกลายเป็นจริงเข้าสักวัน ใครเลยจะคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากนั้นว่ามันมีอานุภาพพอที่ จะ เปลี่ยน เราให้กลายเป็นคนใหม่ หรือทำลายทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าได้ แม้กระทั่งสายสัมพันธ์ที่ยาวนาน! เป็นโจทย์ที่ผู้กำกับฯ บิล คอนดอน เนรมิต Dreamgirls ให้ออกมาเป็นชีวิตฝันบนเวทีมายาดั่งเจตคติ เพียงแต่ว่ามันทำให้เราคาดเดาบทสรุปของหนังเรื่องนี้ได้ง่าย



และอาจจะง่ายเกินไป หากเทียบกับโปรดักชั่นของหนังที่ปูพรมแดงอย่างฟุ่มเฟือยเพื่อบ่งชี้เจตนาของคอนดอนที่หวังว่า หนังของเขาอาจมีมิติมากกว่าสารคดีของวงเดอะ สุพรีมส์ แฟนตาซีกว่า Chicago และเข้มข้นยิ่งกว่า Ray แต่หากให้ช่วยสรุปแล้ว Dreamgirls อาจพบกับคำตอบที่ไม่เป็นไปอย่างที่หลายคนคิด และคำว่า พอใช้ ก็คงไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้ยินหลังจากตรึงผู้ชมด้วยฉากสวยงามอลังการตลอด 130 นาที ก่อนหน้านี้บิล คอนดอน ไม่เคยจับงานกำกับฯ ที่โดดเด่นเป็นรูปธรรมเท่าไหร่นัก จนกระทั่งเข้าไปมีส่วนในทีมเขียนบทเรื่อง Chicago จากจุดนั้นอาจทำให้เขาเกิดกระหายความท้าทายในการทำงานบนโครงสร้างเรื่อง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยองค์ประกอบจิปาถะของหนังเพลงหรือ musical แบบนี้ และยิ่งท้าทายกว่าเป็นสองเท่าเมื่อองค์ประกอบใน Dreamgirls



ใหญ่โตจนน่ากลัวจะเป็นความกดดัน Dreamgirls ฉบับขึ้นจอใหญ่ถูกเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาจากละครบรอดเวย์ยอดฮิตในปี 1981 ซ้อนทับอีกทีด้วยแรงบันดาลใจจากวง เดอะ สุพรีมส์ โดยมีฉากหลังคือความทรนงของเมืองดีทรอยต์ ถิ่นที่ดนตรีอาร์แอนด์บีถูกฝังรากฝังรอยในรูปของค่ายโมทาวน์อันลือลั่น มันจึงไม่ยากหากใครที่เป็นคอเพลงโซล-อาร์แอนด์บีไปจนถึงบูกี้คงอดไม่ได้ที่จะคิดเลยเถิดเปรียบเทียบตัวละครหลายตัวในหนังกับราชาเพลงโซลทั้งหลายผู้มีมนต์ขลังในโลกแห่งความเป็นจริง ดังเช่นที่เขาทำให้ เอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ สวมหัวโขนของใครก็ได้ตามใจปรารถนา ตั้งแต่ลิตเติ้ล ริชาร์ดส, เจมส์ บราวน์ ยันมาร์วิน เกย์ มันฟังดูโอเวอร์จนไม่อาจเป็นไปได้ แต่อะไรก็ตามที่เนรมิตขึ้นเพื่อหย่อนใจคอเพลงผิวสี หนังเรื่องนี้ไม่เคยมีคำว่าพอ! 



สามสาววง เดอะ ดรีมเมตส์ ใฝ่ฝันอยากขึ้นโชว์บนเวทีค้นฟ้าคว้าดาวช่วงสุดสัปดาห์ ในยุคที่วงการดนตรีอเมริกายังไม่มีรายการ American Idol และชนชั้นแรงงานผิวดำยังถูกเหยียดผิวอย่างเปิดเผย พวกเธอเป็นดั่งพี่ดั่งน้อง ไปไหนไปกัน หากขาดใครไปก็หมายถึงไม่มีการแสดง โชคชะตาพลิกผันเมื่อพวกเธอถูกเลือกให้เป็นนักร้องประสานเสียจมส์ เออร์ลี (เอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์) โดยคำชักชวนของเซลส์แมนขายรถคาดิลแลคอย่างเคอร์ติส เทย์เลอร์ (เจมี ฟอกซ์) ที่อาศัยลมปากตะล่อมล่อสามสาวที่อยากจะเป็นดาว แลกกับการรุกคืบช้าๆ จนสามารถฮุบวงดนตรีเจมส์ เออร์ลีสำเร็จ กระทั่งเขาได้ครอบครองทุกอย่างแม้กระทั่งเอฟฟี่ (เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน) นักร้องนำอนาคตไกลที่ใฝ่ฝันว่า เดอะ ดรีมเมตส์ ของเธอจะกลายเป็นวงดนตรีชื่อดัง แต่เคอร์ติสกลับมองต่างไปจากทุกคน เคอร์ติสมองเห็นแต่ตัวเองกำลังกล้าได้กล้าเสียในวงการดนตรีที่เขามองเห็นแต่ธุรกิจโดยที่เขาจงใจลืมว่า ความทะเยอทะยานของเขากำลังจะทำลายฝันของใครหลายคนอย่างช่วยไม่ได้

ดูซีรีย์สนุกๆได้ที่นี่ ดูซีรี่ย์เกาหลี

No comments:

Post a Comment

13 The Musical (2022) รีวิวภาพยนต์เพลงและดนตรีจาก Netflix

 13 The Musical (2022) รีวิวภาพยนต์เพลงและดนตรีจาก Netflix เรื่องราวของ อีแวนด์ โกลด์แมน เด็กหนุ่มที่ย้ายมาจากโรงเรียนในนิวยอร์คตามครอบครัว ...