Friday, April 9, 2021

รีวิวภาพยนตร์เรื่อง Eurovision Song Contest: The Story Of Fire Saga ไฟ ฝัน ประชัน เพลง

 


อันดับแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือแปลก ตัวละครพระเอกแอบดูติ๊งต๊อง แต่ถึงยังงัยหนังก็เป็นหนังที่สนุกครบรส ไม่ว่าจะเป็น  ตลก แฟนตาซี อบอุ่น เศร้า แถมที่สำหรับเพลงเพราะมากๆเล่าเรื่องราวคู่รักที่เติบโตมาในเมืองเล็กๆ ของไอซ์แลนด์ และมีฝันไกลไปถึงการแข่งขันร้องเพลง Eurovision Song Contes แต่คนในเมืองเห็นเขาทั้งคู่เป็นเพียงตัวตลกเท่านั้น



ภาพยนตร์แนวดนตรีตลกดราม่า พ่วงแฟนตาซีนิดๆ เรื่องราวอิงกับการประกวดร้องเพลง Eurovision Song Contest ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีตัวแทนแต่ละประเทศเข้ารวมและโหวตให้คะแนนกัน (มีกฏห้ามโหวตประเทศตัวเอง) เมื่อลาร์ส (วิล เฟอร์เรลล์) และซิกริด (เรเชล แม็คอาดัมส์) เพื่อนสนิทวัยเด็กที่เติบโตมาในเมืองเล็กๆ ของไอซ์แลนด์ และร่วมทำวงดนตรีในชื่อ “ไฟร์ซาก้า” ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในฐานะตัวแทนประเทศเข้าร่วมการแข่งขันร้องเพลง Eurovision Song Contest ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นี่เป็นโอกาสที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ตัวตลกในสายตาของคนในเมืองเล็กๆ แห่งนี้



ตัวเรื่องเป็นแนวดนตรีกึ่งๆ มิวสิควิดีโอไปพร้อมกัน จึงมีฉากแฟนตาซีเพ้อฝันผสมเข้ามาอยู่ตลอดเรื่อง ซึ่งส่วนนี้แหละเป็นจุดเด่นของเรื่องนี้ที่ทำออกมาได้สนุกทุกครั้งกับการตัดฉากร้องเพลงประกอบมิวสิควิดีโอผสานไปกับการดำเนินเรื่องจริง โดยตัวเอกทั้งคู่ลาร์สกับซิกริดจะมีไอเดียบ้าๆ หลุดโลกหลายอย่าง อย่างฉากแรกของเรื่องจะก็เป็นมิวสิควิดีโอ Volcano Man ซึ่งก็หลุดโลกไปเลย แต่ในเรื่องจะเป็นแค่จินตนาการตอนอัดเสียงร้องในเมืองชนบทเล็กๆ แห่งนี้เท่านั้น



แต่ฉากหลุดโลกประกอบเพลงไม่ได้มีเพียงแค่ในจินตนาการเท่านั้น ในเรื่องยังมีช่วงการประกวดของจริง มีเครื่องอุปกรณ์ประกอบฉากและเครื่องแต่งกายเพี้ยนๆ ของพวกเขาอยู่ด้วย โดยเนื้อเรื่องวางไว้ให้เกิดเรื่องบังเอิญทำให้เขาได้เป็นตัวแทนไอซ์แลนด์ ทำให้รัฐบาลต้องหาทีมผู้ช่วยสนับสนุนไอเดียเพี้ยนๆ ของลาร์สให้ออกมาดีไม่ขายหน้าในฐานะตัวแทนประเทศ ซึ่งไอเดียเพี้ยนๆ ที่ออกมาประกอบเพลงในเรื่องอาจจะดูตลกๆ แต่ว่าจริงๆ แล้วเข้ากันกับเพลงที่ร้องได้เป็นอย่างดีเลย ทำให้เห็นว่าไอเดียเพี้ยนๆ ของพระเอกก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ใครๆ คิด รวมถึงเสียงร้องของ ซิกริด (เรเชล แม็คอาดัมส์) ในฐานะนางเอกของเรื่องก็ทรงพลังเอามากๆ ไม่แน่ใจว่าร้องสดหรือลิปซิ้ง แต่เสียงที่เปล่งออกมาทุกครั้งโดดเด่นสะกดคนดูได้ชะงัดทันที ในขณะที่ตัวพระเอกลาร์สจะเป็นแค่ลูกคู่กับรับบทคิวหลุดตลกๆ (ในเรื่องลาร์สจะถูกวางไว้ว่าเป็นตัวซวยคอยถ่วงนางเอก) มากกว่ามีบทนำในเรื่องเพลงจริงๆ แต่ทั้งคู่ก็เป็นส่วนผสมที่ประหลาดและลงตัวไปกับเรื่องราวเพี้ยนๆ แต่จริงจังกับความฝันไปพร้อมกัน

 



No comments:

Post a Comment

13 The Musical (2022) รีวิวภาพยนต์เพลงและดนตรีจาก Netflix

 13 The Musical (2022) รีวิวภาพยนต์เพลงและดนตรีจาก Netflix เรื่องราวของ อีแวนด์ โกลด์แมน เด็กหนุ่มที่ย้ายมาจากโรงเรียนในนิวยอร์คตามครอบครัว ...